31 พฤษภาคม 2023
การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องปกติ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่เราต้องรู้จักกับวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากคนรักหรือคู่นอนได้
วันนี้ เราจะพาไปรู้จักกับ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ว่ามีโรคไหนที่ต้องระมัดระวังบ้าง?
รวมถึงวิธีป้องกันการเป็นโรคติดต่อด้วย เพื่อที่เราจะได้มี Safe Sex หรือมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย หมดกังวลจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยไม่รู้ตัวได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรค STDs (Sexual-Transmitted diseases) เป็นโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือเป็นโรคนี้อยู่แล้ว โดยสามารถติดได้จากการร่วมเพศทางอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
แต่เดิม โรคนี้เป็นโรคที่มีแพร่ระบาดในอดีตอย่างมาก เนื่องจากสมัยก่อนเทคโนโลยีและระบบสาธารณสุขยังไม่มีความพร้อมในการรับมือ จึงทำให้มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก หรือรู้จักในชื่อ “กามโรค” นั่นเอง
สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในปัจจุบัน มีหลากหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และเอชพีวี (HPV)
อย่างที่เรารู้กันว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรค STDs เกิดจากการร่วมรัก หรือมีกิจกรรมทางเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่แล้ว โดยสามารถต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ผ่านอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่เกิดจากการสัมผัส เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแบ่งสาเหตุของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ได้ ดังนี้
ชื่อโรค | สาเหตุการติดเชื้อ | เชื้อไวรัส | ระยะเวลาฟักตัว |
โรคซิฟิลิส | – ติดเชื้อจากการจูบ– การมีเพศสัมพันธ์– รับเลือดจากผู้ติดเชื้อ– สัมผัสกับแผลของผู้ป่วย | เชื้อแบคทีเรีย Treponema Polidum | 10 – 90 วัน (เฉลี่ย 21 วัน) |
โรคหนองในแท้ | – มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โดยไม่ใช้ถุงยาง | เชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae | 2 – 7 วัน |
โรคหนองในเทียม | – มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ทางปาก โดยไม่ใช้ถุงยาง– ติดเชื้อจากแม่สู่ลูก | เชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis | เฉลี่ย 7 วัน |
โรคเริม | – มีเพศสัมพันธ์ทางช่องปาก โดยไม่ใช้ถุงยาง | เชื้อไวรัส Herpes simplex virus | 2 – 14 วัน |
เชื้อไวรัส HPV | – มีเพศสัมพันธ์ทางช่องปาก โดยไม่ใช้ถุงยาง | เชื้อไวรัส Human papilloma virus | 3 เดือน จนถึงหลายปี |
เชื้อไวรัส HIV | – การมีเพศสัมพันธ์– รับเลือดจากผู้ติดเชื้อ– ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน– สัมผัสกับแผลของผู้ป่วย
– ติดเชื้อจากแม่สู่ลูก |
เชื้อไวรัส human immunodeficiency virus | 2-12 สัปดาห์ |
โรคหูดหงอนไก่ | – มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย– เปลี่ยนคู่นอนบ่อย | เชื้อไวรัส Human Papillomavirus | 3 สัปดาห์ – 8 เดือน |
โรคพยาธิในช่องคลอด | – มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย– เปลี่ยนคู่นอนบ่อย – เคยเป็นโรคพยาธิในช่องคลอดมาก่อน | เชื้อแบคทีเรีย Trichomonas vaginalis | 5 – 28 วัน |
โรคแผลริมอ่อน | – สัมผัสของเหลวจากผู้ที่มีเชื้อแผลริมอ่อนโดยตรง– มีเพศสัมพันธ์ และสัมผัสกับผิวหนังที่มีบาดแผล | เชื้อแบคทีเรีย H.ducreyi | 3-7 วัน |
โรคหูดข้าวสุก | – สัมผัสโดยตรงผ่านผิวหนังของผู้ติดเชื้อ– ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นโรคหูดข้าวสุก– ติดเชื้อเมื่อมีเพศสัมพันธ์ | เชื้อไวรัส Molluscipox Genus | 3 – 12 สัปดาห์ |
อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคนั้น บางรายอาจมีเพียงตุ่มขึ้นบนผิวหนัง ในขณะที่บางรายอาจมีโรคแทรกซ้อนหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพในอนาคตได้ สำหรับอาการของแต่ละโรค เราสามารถแบ่งได้ตามนี้
ชื่อโรค | อาการของโรคต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ละชนิด |
โรคซิฟิลิส | ระยะแรก: จะมีแผลเป็นที่อวัยวะ เป็นขอบแข็งระยะที่สอง: มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือและเท้า ช่องปาก ทวารหนักระยะที่สาม: มีผิวหนังเป็นก้อนนูนแตก กระดูกอักเสบ ตาบอด หูหนวกสมองพิการ เส้นเลือดใหญ่ที่หัวใจโป่งพอง จนเสียชีวิตในที่สุด |
โรคหนองในแท้ | ผู้ชาย: เสี่ยงต่อการเป็นโรคหนองที่ทวารหนักและลำคอ ไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่บางราย อาจมีอาการอื่นเกิดขึ้น รวมถึงมีของเหลวข้นสีเหลือง หรือสีขาวไหลจากอวัยวะเพศ ทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่สบายตัว และมีปัญหาในการปัสสาวะได้ผู้หญิง: ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้น แต่หากมี จะมีของเหลวไหลออกจากช่องคลอดมากผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีปัญหาเมื่อถ่ายปัสสาวะ เจ็บท้องน้อยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากปล่อยไว้ จะทำให้มดลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนและเป็นหมัน |
โรคหนองในเทียม | ผู้ชาย: รู้สึกปวดหรือมีอาการบวมที่อวัยวะเพศ มีอาการเจ็บแสบเมื่อถ่ายปัสสาวะ บริเวณหุ้มปลายอวัยวะเพศเกิดการอักเสบ รวมถึงมีของเหลวข้นสีเหลือง หรือสีขาวไหลจากอวัยวะเพศผู้หญิง: ตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นและลักษณะผิดปกติ มีอาการเจ็บแสบเมื่อถ่ายปัสสาวะ รู้คันหรือแสบร้อนบริเวณรอบอวัยวะเพศ และรู้สึกเจ็บท้องน้อยเมื่อมีประจำเดือนหรือเพศสัมพันธ์ |
โรคเริม | มีตุ่มน้ำหลายตุ่ม ขึ้นบริเวณที่มีการติดเชื้อ โดยตุ่มจะมีขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ไม่ว่าจะเป็นบริเวณปาก ผิวหนังตามร่างกาย หรืออวัยวะเพศ |
เชื้อไวรัส HPV | โรคนี้ ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการหลังติดเชื้อ แต่หากมีอาการ จะมีเป็นโรคหูดหงอนไก่ ลักษณะเป็นก้อนหรือติ่งเนื้อ ผิวขรุขระ ไม่รู้สึกเจ็บบริเวณอวัยวะเพศและผิวหนัง ในบางรายอาจมีอาการที่ร้ายแรงกว่านั้น เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก |
เชื้อไวรัส HIV | ระยะเฉียบพลัน: มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นและปวดหัว ระยะสงบทางคลินิก: มีอาการเพียงเล็กน้อย หรืออาจไม่มีอาการแสดงให้เห็นเลยระยะโรคเอดส์ (AIDS): เป็นระยะสุดท้ายของการเชื้อเอชไอวี (HIV) จนกลายเป็นโรคเอดส์ ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ จนอาจเสียชีวิตได้ |
โรคหูดหงอนไก่ | โรคนี้แตกต่างจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เนื่องจากโรคหูดหงอนไก่ บางรายอาจไม่แสดงอาการ แต่หากมีอาการ ก็จะมีก้อนโตจนอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนักหรือท่อปัสสาวะ ผู้หญิงมีตกขาวผิดปกติ หรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ |
โรคพยาธิในช่องคลอด | ผู้หญิงจะมีตกขาวมากผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น หรือลักษณะแตกต่างไปจากเดิม มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด อวัยวะเพศบวมแดง คัน หรือรู้สึกแสบ ในบางรายอาจมีอาการเจ็บ เมื่อถ่ายปัสสาวะ หรือมีเพศสัมพันธ์ด้วย |
โรคแผลริมอ่อน | – สัมผัสของเหลวจากผู้ที่มีเชื้อแผลริมอ่อนโดยตรง– มีเพศสัมพันธ์ และสัมผัสกับผิวหนังที่มีบาดแผล |
โรคหูดข้าวสุก | มีตุ่มขึ้น ลักษณะนูนคล้ายครึ่งวงกลม ซึ่งตุ่มนูนมักมีสีเนื้อหรือสีขาวขุ่น ลักษณะแข็ง ผิวเรียบมัน ในบางรายอาจมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม ถ้ากดตุ่ม ก็จะเห็นเนื้อสีขาวลักษณะคล้ายข้าวสุก |
จะเห็นได้ว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรค STDs มีกลุ่มอาการและสาเหตุหลากหลายแบบ หากใครอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เหล่านี้ ต้องรู้จักวิธีป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง นอกจากจะลดโอกาสการติดเชื้อแล้ว ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดตั้งครรภ์น้อยลงด้วย โดยวิธีการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มีดังนี้
สำหรับใครที่มีอาการเสี่ยงและสงสัยว่าตัวเองอาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์ สามารถพูดคุยและปรึกษากับนักเพศวิทยา และควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ทำการรักษา เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างรุนแรง จนเสียชีวิตได้
สามารถปรึกษาเรื่องทางเพศ รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับเพศได้อย่างสบายใจในทุก ๆ แง่มุม ไม่ต้องเปิดเผยชื่อ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน สามารถรับคำปรึกษาได้ทันที
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Talk To PEACH: http://bit.ly/417az7i
อ้างอิง:
ปัญหาเพศชาย
ปัญหาเพศหญิง
สุขภาพเพศทางกาย