24 มีนาคม 2023
‘เริมที่ปาก’ คือ โรคติดต่อชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยมักเกิดแผลบวมแดงเป็นตุ่มน้ำสีใส เมื่อรักษาหายในครั้งแรก สามารถเกิดอาการขึ้นซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าโรคเริมที่ปาก เกิดจากอะไร? มีอาการและวิธีป้องกันการติดต่อของโรคอย่างไร
วันนี้ ‘Talk to PEACH’ จะพาทุกคนมาเจาะลึกทุกประเด็นเกี่ยวกับโรคเริมที่ปาก เพื่อให้คุณรู้จักกับโรคนี้ และระวังมากขึ้น
หากถามว่าโรคเริมที่ปาก เกิดจากอะไร? เริมบริเวณปาก (Herpes Labialis / Cold Sores) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Type 1 (HSV-1) ก่อให้เกิดตุ่มน้ำขนาดเล็กกระจุกตัวกันรอบริมฝีปาก ผู้ป่วยบางคนอาจเกิดอาการดังกล่าวภายในปากร่วมด้วยจึงส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวด
โดยไวรัสประเภทนี้ สามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ผ่านการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อ ด้วยน้ำลาย สารคัดหลั่ง อสุจิ และน้ำเหลือง ทั้งทางเยื่อบุปากหรือบาดแผลบนผิวหนัง ดังนั้นการจูบ ออรัลเซ็กส์ (Oral Sex) ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน ช้อนส้อม ผ้าเช็ดตัว เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งการดื่มน้ำแก้วเดียวกันก็มีโอกาสติดเชื้อได้
หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นล่าง ก่อให้เกิดโรคเริมครั้งแรก ภายหลังไวรัสจะเข้าไปสะสมในปมประสาท เมื่อมีปัจจัยมากระตุ้นอย่างการพักผ่อนน้อย ความเครียด การเจ็บป่วย ภูมิคุ้มกันต่ำ การกินยากดภูมิคุ้นกัน หรือการมีประจำเดือนก็จะแสดงอาการขึ้นอีกครั้ง
เมื่อทราบแล้วว่าเริมที่ปากเกิดจากอะไร หลายคนคงสงสัยว่าเริมที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไร ขอบอกเลยว่าเริมที่อวัยเพศหญิงและเริมที่อวัยเพศชายสามารถติดต่อได้แบบเดียวกับเริมบริเวณปาก ทั้งทางผิวหนัง และเยื่อบุปาก ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัยควรสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามเริมบริเวณอวัยวะเพศเกิดจากไวรัสคนละชนิดกัน นั่นคือ Herpes Simplex Virus (HSV-2)
เมื่อเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่าโรคเริมที่อวัยวะเพศและโรคเริมที่ปาก เกิดจากอะไร เราจะพาทุกคนมาเช็กว่าอาการของโรคเริมที่ปากเป็นอย่างไรและแต่ละระยะของโรคเป็นอย่างไร มาเรียนรู้ไปพร้อมกันเลย
สำหรับเริม อาการที่สามารถสังเกตได้ง่ายคือ เกิดตุ่มพองสีใส ลักษณะคล้ายคลึงกับพวงองุ่นบริเวณมุมปากหรือรอบ ๆ ปาก บางกรณีอาจเกิดในช่องปากได้อีกด้วย สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้
สำหรับใครที่สงสัยว่าเริมที่ปากกี่วันหาย โรคนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 – 6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละบุคคล บางท่านอาจมีไข้ ปวดศีรษะหรืออ่อนเพลียร่วมด้วย โดยทั่วไปการแสดงอาการครั้งแรกจะรุนแรงกว่าครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อถูกกระตุ้นอีกครั้งอาจมีตุ่มขนาดเล็กและจำนวนน้อยกว่านั่นเอง อย่างไรก็ตามหากมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงควรไปพบแพทย์ทันที เช่น ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ระคายเคืองบริเวณตาหรือหายใจติดขัด หน้าและตัวแดง
หลังจากเรียนรู้แล้วว่าโรคเริมที่ปาก เกิดจากอะไรบ้าง มีอาการอย่างไร ‘Talk to PEACH’ จะพามาทำความเข้าใจวิธีรักษาโรคเริมด้วยตนเองเบื้องต้นและการทายาหรือทานยาตามคำสั่งแพทย์ พร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย
สำหรับผู้ที่อาการไม่รุนแรงมากควรดูแลตนเองเบื้องต้นด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ ใช้น้ำเกลือกลั้วปากหากมีแผลในช่องปาก ถ้ามีตุ่มพองบริเวณริมฝีปากให้ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดแผล นอกจากนี้ควรตัดเล็บให้สั้นและไม่แกะแผล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น
ส่วนการทานยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมง จะช่วยบรรเทาอาการและลดระยะการแสดงอาการได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการ เนื่องจากยาที่ใช้ อาจส่งผลข้างเคียงต่อไตได้ โดยตัวยาที่ใช้กันในปัจจุบันมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir และ Famciclovir ซึ่งช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ทานพร้อมอาหารหรือตอนท้องว่างแล้วดื่มน้ำตามปริมาณมาก
ส่วนยาทาแผลเริม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ (1.) ประเภท Penciclovir อย่างครีม Denavir และ (2.) ประเภท Docosanol อย่างครีม Abreva ซึ่งทั้งสองมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ลดอาการและความเจ็บปวดหรือแสบร้อนลง แต่ต้องล้างมือให้สะอาดและเช็ดบริเวณแผล ให้แห้งก่อนทา ทาติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน ทุก 2 ชั่วโมง หรือตามคำสั่งแพทย์ ห้ามทาภายในปากเด็ดขาด
คาดว่าหลายคนที่มีอาการ หรือเคยสงสัยว่า โรคเริมที่ปาก เกิดจากอะไร น่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และแนวทางการป้องกันมากขึ้น
หากใครกำลังเผชิญกับเริมบริเวณปาก เจ็บปวดและไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันแต่เขินอายที่จะพบแพทย์
สามารถพูดคุยได้ทั้งผ่านวิดีโอคอล และแชทถาม-ตอบผ่านแอป Talk to PEACH หรือ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเพศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Talk To PEACH: http://bit.ly/417az7i
ปัญหา LGBTQ+
ปัญหาเพศชาย
ปัญหาเพศหญิง
สุขภาพเพศทางกาย
โรคติดต่อ