23 พฤษภาคม 2024
เอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์ (AIDS) เป็นคำที่มักถูกใช้แทนกันอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในบทความนี้ เราจะอธิบายให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง HIV และโรคเอดส์มากขึ้น
HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปยึดจับและทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค
หากไม่ได้รับการรักษา ระดับเม็ดเลือดขาว CD4 จะลดต่ำลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และป่วยเป็นโรคเอดส์ได้
เอดส์ ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วยเอดส์จะมีระดับเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันและเม็ดเลือดขาวถูกทำลายจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย
ระยะที่ 1: ร่างกายอยู่ในภาวะเริ่มติดเชื้อ อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ ผื่นขึ้นตามตัว
ระยะที่ 2: มีอาการของโรคที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อดังกล่าว เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต มีตุ่มขึ้นตามร่างกาย มีเชื้อราในปาก เป็นงูสวัด
ระยะที่ 3: เป็นโรคเอดส์ มีการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อราขึ้นสมอง วัณโรค ปอดบวม
ดังนั้น ระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อดังกล่าว ยังไม่ถือเป็นโรคเอดส์ ส่วนระยะที่ 3 ของการติดเชื้อดังกล่าว เรียกว่าเป็นโรคเอดส์
มีหลายคนสงสัยว่าเชื้อ HIV ติดง่ายไหม? ตอบได้เลยว่า เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ยากมาก มีเพียงบางช่องทางเท่านั้นที่สามารถนำไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น จึงมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ส่งผลให้ติดเชื้อดังกล่าว เลย ได้แก่
เนื่องจากเชื้อไวรัสไม่สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้จากการสัมผัสภายนอกลักษณะนี้
เนื่องจากเชื้อดังกล่าว ไม่สามารถแพร่กระจายผ่านทางน้ำลายหรืออาหารได้
น้ำมูกหรือเสมหะที่ปนมากับการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ ไม่มีปริมาณเชื้อดังกล่าว มากพอที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
เนื่องจากเชื้อไวรัสไม่สามารถอยู่รอดและแพร่พันธุ์ในร่างกายของแมลงหรือยุงได้
เนื่องจากเชื้อจะถูกทำลายโดยคลอรีนที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรค
พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ HIV ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ดังนั้น หากปฏิบัติตนอย่างถูกวิธีและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้
เป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV โดยใช้ยากลุ่ม antiretroviral (ARV) หลายชนิดร่วมกัน
ยา ARV จะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อHIV ลดปริมาณเชื้อในร่างกาย และฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมเชื้อ ชะลอการเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคแทรกซ้อน
เช่น การให้ยาต้านจุลชีพสำหรับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยเอดส์
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว การปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ การดูแลสุขภาพและภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง ก็มีความสำคัญในการควบคุมและชะลอความรุนแรงของโรคเอดส์เช่นกัน ด้วยความก้าวหน้าของการรักษาในปัจจุบัน เมื่อรู้ว่าวิธีการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ HIV คืออะไรและทำอย่างไรบ้าง ผู้ติดเชื้อก็จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไปได้
สามารถปรึกษาเรื่องทางเพศ รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับเพศได้อย่างสบายใจในทุก ๆ แง่มุม ไม่ต้องเปิดเผยชื่อ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน สามารถรับคำปรึกษาได้ทันที หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเพศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Talk to PEACH: https://oci.ltd/x1Xc5n6
สุขภาพเพศทางกาย
โรคติดต่อ