11 มิถุนายน 2024
ตุ่ม PPE หรือที่เรียกเต็ม ๆ ว่า Pruritic Papular Eruption in HIV เป็นอาการทางผิวหนังที่พบได้ในผู้ป่วย HIV หรือ ที่เรารู้จักกันดีและเรียกกันว่า ตุ่มเอดส์ นั่นเอง ซึ่งตุ่มนี้สามารถรักษาได้
โดยในบทความนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับอาการ พร้อมชวนดูวิธีการดูแลรักษา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เราไม่ควรมองข้าม
PPE คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV เป็นตุ่มที่ขึ้นได้ทั่วร่างกาย มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงมีลักษณะคล้ายกับผื่น สามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้หากไม่รักษาอย่างถูกวิธี
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ที่ป่วยเป็นตุ่มดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคโดนตรง แต่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องการจากติดเชื้อ HIV แบ่งสาเหตุหลัก ๆ ได้จาก ในร่างกายมีระดับ CD4 ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและเกิดตุ่มได้ง่าย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถรับมือกับสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ได้เลย
ตุ่ม PPE ลักษณะที่สังเกตได้จะเป็นตุ่มนูนสีแดงหรือสีเนื้อ คล้ายตุ่มแมลงกัดต่อย มีระยะห่างเท่า ๆ กัน ขนาดของตุ่มจะกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร
ซึ่งหากถามว่าตุ่มจะขึ้นตรงไหน? บอกได้ว่าตุ่มนี้สามารถขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย แต่มักพบบริเวณนอกผ้าร่ม เช่น ใบหน้า แก้ม แขน ขา รวมถึงบริเวณคอ ด้วย
ตุ่มดังกล่าวมักจะมีอาการคันร่วมด้วย อาการคันนี้เป็นหนึ่งในลักษณะสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวและคันจนอยากจะเกาตุ่มดังกล่าว ซึ่งการเกาตุ่มเหล่านี้อาจนำไปสู่การติดเชื้อแทรกซ้อนได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
สามารถแบ่งระยะของอาการได้ดังนี้
เริ่มจากอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดข้อ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย แต่ยังไม่เป็นตุ่มชัดเจน
เริ่มปรากฏตุ่มขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจขยายไปที่ใบหน้า แขน ขา และรอบปาก มักมีระยะห่างเท่า ๆ กัน และมีอาการคันในบริเวณที่เกิดตุ่ม ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและคันจนอยากเกาอยู่ตลอดเวลา และอาจมีผื่นสะเก็ดหนาและรังแคร่วมด้วย
ตุ่มนูนแดงจะเริ่มจางลงและกลายเป็นสีคล้ำขึ้น และอาจมีรอยแผลเป็นหรือรอยคล้ำที่เกิดจากตุ่มนูนก่อนหน้านี้
สำหรับแผนการรักษาตุ่มนั้น ต้องรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่จะช่วยรักษาร่างกายให้แข็งแรงนั่นคือการรับประทานยาต้านไวรัส HIV อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมเชื้อในร่างกาย ทั้งนี้การรักษาอาการดังกล่าว สามารถทำได้ ดังนี้
ใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการคัน เช่น ครีมหรือยาทาที่มีส่วนผสมของยาสเตียรอยด์ หรือยาต้านฮิสตามีน
เช่น รักษาความสะอาด ล้างบริเวณที่มีตุ่มผื่นด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน รวมถึงหลีกเลี่ยงการเกา เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรีย
ไม่ว่าจะเป็นพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับสารพิษและฟื้นตัวเร็วขึ้นส่วนคำถามที่ว่าแล้วตุ่ม เอดส์จะหายไหม หายได้อย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตามคำแนะนำของแพทย์และการกินยาอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยให้หายได้เช่นกัน
การป้องกันไม่ให้เกิดตุ่ม PPE โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือมีความเสี่ยงในการเกิดตุ่มสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการป้องกันและการรักษา ดังนี้
รักษาระดับ CD4 ให้สูง การใช้ยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดตุ่ม และที่สำคัญคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ติดตามผลการรักษาอย่างเคร่งครัด
ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือใช้เจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
สามารถปรึกษาเรื่องทางเพศ รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับเพศได้อย่างสบายใจในทุก ๆ แง่มุม ไม่ต้องเปิดเผยชื่อ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน สามารถรับคำปรึกษาได้ทันที หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเพศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Talk to PEACH: https://oci.ltd/NPFYBGB
สุขภาพเพศทางกาย
โรคติดต่อ