18 ตุลาคม 2022
ใส่ถุงยางแล้วยังมีโอกาสท้องอยู่ไหม?
สอดใส่แป๊บเดียวจะท้องไหม?
มีอะไรกันแต่ไม่เสร็จจะท้องไหม?
ใช้ถุงยางแต่ไม่กินยาคุม มีโอกาสท้องไหม?
หลั่งในท้องไหม?
.
นี่คือตัวอย่างคำถามที่แสดงถึงความกังวล เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อยในโลกของอินเทอร์เน็ต ถ้าหากคุณมีข้อสงสัยว่า ใส่ถุงยาง ท้องไหม? มีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์? มีเพศสัมพันธ์แล้วป้องกันด้วยวิธีนี้ จะทำให้ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า?
บทความนี้จาก Talk to PEACH จะช่วยคลายข้อสงสัยให้คุณ! พร้อมพาไปรู้จักกับวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แบบไร้กังวล อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้แบบเห็นผล!
ถุงยาง ท้องไหม? การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง หากใช้อย่างถูกต้องประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ประมาณ 98% แต่ในกรณีการใช้งานทั่วไป ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดหรือการใช้งานไม่ถูกต้องเสมอ เลือกขนาดผิด ประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 85%
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ถุงยางอนามัยและลดโอกาสการตั้งครรภ์ ควรเลือกขนาดที่เหมาะสม ตรวจสอบวันหมดอายุ เก็บรักษาในที่ที่เหมาะสม ตรวจสอบถุงยางอนามัยก่อนใช้ ใช้ครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้การใช้ถุงยางอนามัยควบคู่กับวิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด หรือห่วงอนามัย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
ใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี โดยใส่ตั้งแต่ต้นจนจบการสอดใส่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ สามารถลดโอกาสท้องลงได้ถึง 98 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อโรคติดต่อที่ทางเพศสัมพันธ์ อย่างเช่น การติดเชื้อ HIV โรคซิฟิลิส โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคหนองในเทียม โรคหนองในแท้ ได้อีกด้วย
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรายเดือน สามารถลดโอกาสท้องลงได้ถึง 91-99 เปอร์เซ็นต์ โดยการกินยาเม็ดคุมกำเนิดรายเดือน ทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด ให้เริ่มกินเม็ดแรกภายใน 5 วัน ของการมีประจำเดือน โดยกินวันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลาเดิมในทุก ๆ วันจนกว่าจะหมดแผง หากไม่สามารถกินเม็ดแรกได้ทันภายใน 5 วันของการมีประจำเดือน จะต้องกินยาติดต่อกัน 5-7 วันก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันได้
การฉีดยาคุมกำเนิด สามารถลดโอกาสท้องลงได้ถึง 94-99 เปอร์เซ็นต์ โดยคุมกำเนิดได้นาน 1-3 เดือน จากการฉีดเพียงครั้งเดียวขึ้นอยู่กับประเภทที่ฉีด และการฉีดยาคุมกำเนิดอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย แต่มีผลข้างเคียงคือประจำเดือนมาไม่ปกติ และมีเลือดออกกะปริบกะปรอยร่วมด้วยเช่นกัน
การฝังยาคุมกำเนิด สามารถลดโอกาสท้องลงได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และการฝังยาคุมกำเนิด 1 ครั้งจะอยู่ได้นาน 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดยา โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก แต่มีผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติและไม่มีประจำเดือนไปตลอดช่วงที่ฝังยา อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักตัวเพิ่ม เกิดฝ้าและสิว ช่องคลอดอักเสบและแห้ง เกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ หรือมีโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ
การใช้นิ้ว ทำออรัลเซ็กส์ และการถูกันภายนอกของอวัยวะเพศ ไม่สามารถทำให้ท้องได้ แต่ต้องมั่นใจว่านิ้วมือไม่ได้เปื้อนอสุจิ และไม่ได้มีการสอดใส่ เพราะหากมีการสอดใส่อาจมีความเสี่ยงทำให้ท้องได้
หากมีการสอดใส่เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยอาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้ท้องได้ เพราะหากมีอสุจิที่ยังตกค้างอยู่ อสุจิอาจปนออกมาพร้อมกับน้ำหล่อลื่นของฝ่ายชายได้ ซึ่งทำให้มีโอกาสในการท้อง จึงแนะนำให้ป้องกันด้วยการใส่ถุงยางหรือกินยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน ฉีดยาคุมกำเนิด หรือฝังยาคุมกำเนิดควบคู่กันไป
หากใส่ถุงยางอย่างถูกวิธี โดยใส่ตั้งแต่เริ่มสอดใส่จนจบการมีเพศสัมพันธ์ และถุงยางไม่ได้หลุด รั่ว หรือแตก ก็ไม่ต้องกังวลไป แบบนี้ไม่มีโอกาสท้อง
การใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี สามารถลดโอกาสท้องได้ถึง 85-98 เปอร์เซ็นต์ และสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย แต่ถ้าเราไม่มั่นใจ เราสามารถป้องกันด้วยการทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน ฉีดยาคุมกำเนิด หรือฝังยาคุมกำเนิด ร่วมด้วย
หากคุณยังเชื่ออยู่ว่าการหลั่งนอกทำให้ไม่ท้อง คุณอาจต้องมาเสียใจภายหลัง! เพราะการหลั่งนอกเป็นวิธีที่มีโอกาสผิดพลาดสูงและยังมีโอกาสท้องได้ สามารถลดโอกาสการท้องได้เพียง 78 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะอสุจิอาจปนมากับน้ำหล่อลื่นของฝ่ายชายอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีการหลั่งอสุจิก็ตาม
รู้หรือไม่? ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถคุมกำเนิดได้ถึง 91-99 เปอร์เซ็นต์ แต่จะต้องกินยาให้ครบ ห้ามขาด และตรงเวลา ยาคุมกำเนิดจึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ หรือหากไม่แน่ใจว่าการกินยาคุมกำเนิดของเรามีประสิทธิภาพหรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิธีการคุมกำเนิดในลักษณะอื่นแทน เช่น การฉีดยาคุมกำเนิดหรือฝังยาคุมกำเนิด เป็นต้น
หลังการมีเพศสัมพันธ์ หากเราปัสสาวะทันทีจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของท่อปัสสาวะได้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการลดโอกาสในการท้องเลยแม้แต่น้อย ส่วนการสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำไม่ใช่วิธีการคุมกำเนิดและไม่ได้ลดโอกาสในการท้องเช่นเดียวกัน ซ้ำยังทำให้ช่องคลอดได้รับบาดเจ็บและมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย
หากคุณเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดวิธีหนึ่ง นั่นเป็นความเข้าใจผิดที่นำไปสู่ความเสี่ยงในการท้องได้! เพราะในช่วงไข่ตก จะมีเลือดจาง ๆ คล้ายประจำเดือนไหลออกมา ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดประจำเดือน และเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในช่วงดังกล่าวโดยไม่ได้ป้องกัน จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีโอกาสท้องโดยไม่ได้ตั้งใจได้
หรืออีกกรณีหนึ่ง หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ในวันที่ประจำเดือนใกล้หมด หรือมีการหลั่งใน อาจมีอสุจิตกค้างอยู่ในช่องคลอด เพิ่มโอกาสในการท้องสูงขึ้น เนื่องจากอสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดได้นานถึง 48-72 ชั่วโมง
จึงแนะนำว่าควรมีการป้องกันในรูปแบบอื่น เช่น ใส่ถุงยางอนามัยร่วมด้วย เพราะนอกจากจะช่วยลดโอกาสในการท้องแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย
หากคุณยังกังวลเรื่องการป้องกันไม่ให้ท้อง อยากปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ หรืออยากพูดคุยให้ใครสักคนฟัง แต่ไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี? สามารถพูดคุยได้ทั้งผ่านวิดีโอคอล และแชทถาม-ตอบผ่านแอป Talk to PEACH หรือ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ที่ Talk to PEACH พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเป็นส่วนตัวโดยแพทย์และนักเพศวิทยาผู้เชี่ยวชาญ มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม พร้อมแนวทางในการป้องกันการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Talk To PEACH: https://oci.ltd/cV66m
อ้างอิง
ปัญหาเพศชาย
ปัญหาเพศหญิง
สุขภาพเพศทางกาย